รีวิวเที่ยว ระนอง
รีวิวเที่ยว ระนอง : หลังจากสัมผัสความหนาวหลังปีใหม่ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ช่วงนี้ประเทศไทยของเราก็เริ่มเข้าสู่ฤดูร้อนอย่างเต็มที่ จะอยู่บ้านก็ต้องเปิดแอร์แถมยังเปลืองค่าไฟ จะออกไปเดินช้อปปิ้งตามห้างต่างๆ ก็เริ่มจะน่าเบื่อ เอาไงดีล่ะทีนี้ คิดแล้วก็ลองหยิบมือถือขึ้นมาเขี่ยเล่นๆ ดู แต่เอ๊ะ!! ทำไมภาพทะเลช่างสวยขนาดนี้ น้ำก็ใส๊..ใส.. และชายหาดก็ขาวราวกับแป้งฝุ่น คิดแล้วใจก็เริ่มไม่อยู่กับเนื้อกับตัว แน่นอนครับ วันนี้แอดมินขออนุญาตนำเสนอจังหวัดเล็กๆ ทางภาคใต้ที่ใครหลายคนก็ยังไม่ได้นึกถึง แต่หารู้ไม่ว่าจังหวัดเล็กๆ แห่งนี้ เต็มไปด้วยมนต์เสน่ห์ชวนน่าหลงใหล พร้อมกับสูดบรรยากาศอันแสนบริสุทธิ์ไปพร้อมๆกัน กับจังหวัดที่มีชื่อว่า “ระนอง” ภายใต้สโลแกน #ระนองต้องตั้งใจมา !!!
การเดินทาง
ครั้งนี้เราเริ่มต้นกันที่ กรุงเทพฯ พร้อมพุ่งทะยานสู่ จังหวัดสุราษฏร์ธานี โดยสายการบิน AIR ASIA … เดี๋ยวๆๆ จะไประน้องไม่ใช่หรอ แต่ทำไมบินลงสุราษฏร์? ระนองไม่มีสนามบิน? จริงๆ แล้วระนองมีสนามบินครับ แต่อาจจะต้องดูเวลาเที่ยวบินว่าสะดวกเป็นเวลาไหนมากกว่าเท่านั้นเอง ^^ หลังจากลงเครื่องเป็นที่เรียบร้อยก็ถึงเวลามุ่งหน้าสู่ จังหวัดระนอง (ใช้เวลาในการเดินทางประมาณ 2 ชั่วโมงนิดๆ) หลังจากเดินทางถึงระนองเป็นที่เรียบร้อย สถานที่แรกที่เราจะพาไปรู้จักกันนั่นก็คือ “วัดบ้านหงาว” สถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญของจังหวัดระนอง ตื่นตาตื่นใจไปกับพระอุโบสถ 2 ชั้น หรือที่เรียกว่า อุโบสถลอยฟ้า ภายในเป็นที่ประดิษฐานพระประธาน มีนามว่า “หลวงพ่อดีบุก” เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย มีชื่อเป็นทางการว่า “พระติปุกะพุทธมหาศากยมุนีศรีรณังค์” อันมีความหมายว่า “พระพุทธรูปดีบุกองค์ใหญ่เป็นสิริมงคลและศักดิ์ศรีของเมืองระนอง” และยังมีความสวยงามของฝาผนังที่แกะสลักเป็นลวดลายต่างๆ อีกด้วย จริงๆ แล้วหากมองไปยังอีกฟากหนึ่งของพระอุโบสถจะพบกับน้ำตกที่ลดหลั่นลงมาตามหน้าผา มีชื่อว่า “น้ำตกหงาว” แต่เนื่องจากช่วงที่แอดมินไปนั้นเป็นช่วงหน้าร้อน จึงทำให้ไม่มีน้ำตกเลย แต่ก็แอบคิดในใจว่าต้องมาดูให้เห็นกับตาอีกสักครั้งให้ได้
ที่พัก
เริ่มเข้าสู่ยามบ่ายแก่ๆ พร้อมอากาศอันแสนจะร้อน โ-ค-ต-ร !! จึงทำให้ร่างกายเริ่มอ่อนแรง แอดมินขออนุญาตนำร่างอันแห้งเหี่ยวนี้ไปเติมพลังสักนิด ณ Tinidee Hotel @Ranong ทินิดี มีที่มาจากคำว่า “ที่นี่ดี” ซึ่งเป็นสถานที่ที่จะมอบความอบอุ่น สมดุล และครบครัน // ต้องขอนำเสนอโรงแรมนี้แบบสุดๆ เนื่องจากน้ำที่ใช้ในการอุปโภค คือ น้ำแร่ทั้งหมดเลยจ้า… ฮ๊าาา สดชื่นนนน !!!
นอนกลิ้งไปกลิ้งมาบนที่นอนนุ่มๆแล้ว ท้องกลมๆ อันน่ารักของเราก็เริ่มร้อง จ๊อก..จ๊อก..ขึ้นมา ทันใดนั้นแอดมินก็รีบลุกจากที่นอนแบบไม่คิดชีวิต เพราะห่วงว่าลูกในไส้จะหิวมากกว่านี้ ฮ่าฮ่าฮ่า! ว่าแล้วก็นั่งรถไปร้านอาหารที่ขึ้นชื่อมากแห่งหนึ่งของระนอง นั่นก็คือ “ร้านอาหารคุ้นลิ้น” ที่เปิดมานานกว่า 20 ปี ที่นี่นำเสนออาหารไทยภาคใต้ แถมยังมีเมนูซีฟู้ดด้วย (กุ้งแม่น้ำตัวใหญ่มว๊ากกกก) นอกจากนี้ทางร้านยังเอาใจลูกค้าด้วยการให้ผู้ที่มาลิ้มลองอาหารได้ทดลองทำ “ใบเหลียงผัดไข่” เมนูขึ้นชื่อของทางภาคใต้ หากทำเสร็จแล้วก็สามารถนำไปรับประทานได้เลยจ้า คุ้มแล้วคุ้มอีก!
หลังจากอิ่มหนำสำราญแล้ว ร่างกายอันน้อยนิดก็เริ่มจะโหยหาที่พักผ่อนหย่อนใจอีกครั้ง (เอิ่ม..มาเที่ยวหรือมานอนกันแน่) ใช่แล้วครับเราเดินทางกลับเข้าที่พัก เพราะเนื่องจากพรุ่งนี้เราจะได้ไปสัมผัสกับ ทะเลพม่า..ม่า..ม่า…. พูดจริงไม่มีจุ๊ เราจะพาทุกท่านไปเยือนดินแดนแห่งความรัก ณ “หัวใจมรกต หรือ Cock’s Comb Island” บนท้องทะเลของสหภาพเมียนมาร์ zZ
ท่องเที่ยว
ตื่นเช้าๆ กับอากาศอันแสนบริสุทธิ์ สูดรับเข้าปอดให้สดชื่นไปหนึ่งที ก็ถึงเวลาแบกตัวเองเข้าห้องน้ำทำภาระกิจส่วนตัว ก่อนจะออกไปเยือนประเทศเพื่อนบ้านก็ขอเติมพลังกับอาหารเช้า (ABF) ของทางโรงแรม ขุ่นพระ!! อาหารดีเกินกว่าที่คาดหวังไว้มาก… รออะไรล่ะ เอ้า! โซ้ย! ^^ เวลาแห่งฤกษ์งามยามดีกำลังมาถึง รถตู้ของทีมงานที่จะพาเราไปทะเลพม่า มารอรับเราถึงหน้าโรงแรม แต่!! ก่อนจะออกจากโรงแรมให้ตรวจสอบให้ดีก่อนนะว่าเราไม่ลืมบัตรประชาชนใช่หรือไม่?! เนื่องจากการเดินทางไปเที่ยวทะเลพม่าก็เหมือนเป็นการข้ามชายแดนของอีกประเทศ และเอกสารที่จำเป็นต้องใช้คือ “หนังสือผ่านแดนชั่วคราว” เท่านั้น แต่ไม่ต้องกังวลเพราะเจ้าหน้าที่ได้ทำการนำบัตรประชาชนของเราไปผ่านกระบวนการออกหนังสือผ่านแดนชั่วคราวมาให้โดยที่เราสามารถถ่ายรูปรอบริเวณท่าเรือได้เลย ไม่นานนักเจ้าหน้าที่ก็ขานชื่อของเราพร้อมพาเดินผ่านเจ้าหน้าที่ ตม. อย่างฉลุย (ทำหน้าตาสวยๆเข้าไว้) จากนั้นก็ย่างก้าวสวยๆ ลงบันไดเพื่อไปนั่ง Speed Boat ต่อ // แกร… เรือดูดี ถือว่าใหม่ใช้ได้เลย แถมเจ้าหน้าที่ที่จะพาเราไปดำน้ำก็ให้บริการดีมาก แจกเสื้อชูชีพให้ท่านละ 1 ตัว “ต้องใส่เลยนะ เพื่อความปลอดภัยของตัวเราเอง” ถึงเวลาเรือออกก็นั่งไปเรื่อยๆ รับฟังเจ้าหน้าที่บรรยายบนเรือ ไม่นานนักก็ถึงฝั่งพม่า เรือต้องจอดเพื่อทำการประทับตราเอกสารบัตรผ่านแดน แต่ ณ จุดนี้ผู้โดยสารไม่ต้องลงจากเรือนะ เจ้าหน้าที่ดำเนินการให้ทั้งหมดเลย ระหว่างนี้ก็เก็บภาพบรรยากาศบริเวณฝั่งพม่า บ้านเรือนของผู้คน รวมถึงวัดวาอารามต่างๆ ส่วนใหญ่จะคล้ายกันกับบ้านเรา หลังจากเสร็จสิ้นก็เดินทางต่อสู่สถานีแรกของเรานั่นก็คือ “เกาะย่านเชือก (Zadetkyikyun Island)”
จุดดำน้ำที่เต็มไปด้วยปะการังอ่อน และปะการังแข็งหลากสีสัน พร้อมฝูงปลาหลากหลายชนิด สิ่งแรกที่สัมผัสได้คือ น้ำทะเลใสมากถึงมากที่สุด พ่อคู๊ณณณณ! เกินคำบรรยายจริงๆ ไม่รอช้า ชูชีพพร้อม แว่นตาดำน้ำพร้อม 3..4.. ตู๊ม!! วินาทีแรกที่ร่างกายสัมผัสกับทะเลคือ เค็มมาก! ฮ่าฮ่าฮ่า.. สดชื่นมาก ปะการังค่อนข้างสมบูรณ์เลยทีเดียว แต่จู่ๆก็มีอะไรนิ่มมาโดนขาพอหันกลับไปเท่านั้นแหละ กรี๊ด!! แมงกะพรุน แต่เจ้าหน้าที่บอกว่าแมงกะพรุ่นสายพันธุ์นี้ไม่มีพิษจ้า แต่อย่าไปจับเขานะ เฮ้ย..เอาจริงๆ มันน่ารักมากเลยนะ เหมือนวุ้นที่กำลังลอยละล่องไปบนผิวน้ำ ไม่ได้มีแค่ตัวเดียวด้วย ลอยชนคนนู้นทีคนนี้ทีก็แอบตกใจนิดหน่อย
ขึ้นเรือครับ!! เราจะไปจุดที่สองกันแล้ว… กัปตันเรือได้พาเราเดินทางไปยังจุดที่สองนั่นก็คือไฮไลท์ของทริปนี้ที่ “เกาะหัวใจมรกต (Cock’s Comb)” หากมองจากมุมสูงจะสามารถเห็นได้เลยว่า มัน..คือ..หัว..ใจ.. โรแมนติกสุดๆ ไปเลย แต่! เราจะมองไม่เห็นนะเนื่องจากบริเวณนี้ไม่มีชายหาด และไม่มีจุดชมวิวที่จะสามารถมองเห็นได้ สิ่งเดียวที่ทำได้คือ การลอดอุโมงค์เข้าไปชมความงดงามใต้ท้องทะเลที่ต้องขอบอกว่า ความสมบูรณ์ของที่นี่ยิ่งกว่าจุดแรกเสียอีกและต้องลอยตัวเท่านั้นไม่สามารถยืนได้เพราะด่านล่างเต็มไปด้วยปะการัง และหอยเม่นเยอะพอสมควร ระวังกันด้วยน๊า.. เจ้าหน้าที่ได้พาเราไปยังจุดที่สวยๆ และได้บอกว่าจุดนี้คืออะไร ปะการังนี้ชื่ออะไร และปลาแต่ละชนิดมีสายพันธุ์อะไรบ้าง สำหรับตรงนี้ขอให้ 3 คำว่า “ฟิน สุด สุด” ถึงเวลาต้องกล่าวคำว่า บ๊าย..บาย.. หัวใจ แล้วเราจะมาหาใหม่กับคนรู้ใจของเรานะ งู้ยยยย!! ^^
หลังจากขึ้นเรือเป็นที่เรียบร้อยก็เหลือบไปเห็นนาฬิกา อ้าวเฮ้ย! จะเที่ยงแล้วหรือนี่? ตามด้วยเอฟเฟกซ์เสียงท้องร้องตามมา สงสัยกัปตันเห็นเราเริ่มจะโมโหหิวจึงรีบเพิ่มสปีดเรือให้เร็วเท่าที่จะทำได้ และแล้วก็ถึงสถานที่รับประทานอาหารกลางวันบน “เกาะฮอร์สชู (Horse Shoe)” เกาะรูปเกือกม้าที่งดงามไปด้วยหาดทรายโค้งสีขาวละเอียด ล้อมรอบด้วยวิวหน้าผาหินอันงดงาม แต่เอาเป็นว่าไปทานข้าวกันก่อนดีกว่า เดี๋ยวค่อยมาแช๊ะรูปต่อ // เวลาไปเที่ยวทะเล และมีทานอาหารกลางวันส่วนใหญ่เรามักจะได้เป็นข้าวกล่อง และมีผลไม้บ้าง น้ำอัดลมบ้างนิดหน่อย แต่ที่นี่ OMG! อาหารบุฟเฟ่ต์ดูดีมาก มีทั้งอาหารคาว ตามด้วยอาหารหวาน และยังมีเครื่องดื่มให้เลือกมากมาย แถมรสชาติใช้ได้พอสมควร ที่สำคัญบรรยากาศการนั่งทานอาหารริมทะเลนี่เป็นอะไรที่โคตรจะฟินแล้วอ่ะ งื้อ… #ยอมแล้วแม่
แต่ยังไม่จบเพียงเท่านี้ เพราะภารกิจอันสำคัญของเราที่ยังต้องทำต่อนั่นคือ แช๊ะ แช๊ะ แช๊ะ ถ่ายรูปวนไปจ้า… หาดสวยขนาดนี้ แถมวิวภูเขาล้อมรอบ ลองหามุมดีๆ รับรองได้เลยว่ารูปที่ออกมาไม่มีผิดหวังแน่นอน หรือท่านไหนที่อยากจะมีอุปกรณ์ร่วมเฟรมของเราด้วย ทางเกาะเขามีห่วงยางฟลามิงโก้ สีชมพูหวานๆสามารถใช้เป็นพร็อพได้เลย หรือจะเล่นของใหญ่ไปเลยก็มีเรือคายัคให้เราได้ถ่ายรูป และพายเล่นบริเวณชายหาดได้ ยังไม่พอ!! ที่นี่เขามีบริการถ่ายรูปให้อีกด้วย ถ่ายฟรี แต่ตอนรับรูปเสียตังค์ ^^ ไหนๆ ก็ไหนๆ ละ ขออนุญาตแทรกรูปภาพทีมงานเพื่อความเป็นสิริมงคลของทริปนี้ด้วยเลยแล้วกัน #ร้อนแรงกว่าแดดเมืองไทย
บรรยากาศเริ่มเข้าสู่ช่วงบ่ายแก่ๆ พร้อมกับเสียงเจ้าหน้าที่ตะโกนเรียกให้ขึ้นเรือเพื่อเดินทางกลับฝั่งระนอง ในใจตอนนั้นที่คิดคือ..ต้องอำลาจริงๆ แล้วนะทะเลพม่า ครั้งนี้ที่ไปทั้งวันเราเจอกลุ่มนักท่องเที่ยวที่มาดำน้ำทั้งหมดแค่ เรือ 3-4 ลำเท่านั้น ทำให้บรรยากาศเงียบสงบ มีเพียงแค่เสียงคลื่นกระทบชายฝั่ง ซ่า..ซ่า.. นี่คือเหตุผลที่ทำให้เราหลงรักการเที่ยวทะเลครั้งนี้มากที่สุด และเชื่อว่าหากใครได้มาสัมผัส เห็นด้วยตาของตัวเอง ทุกคนต้องประทับใจไม่รู้ลืม… ผ่านไป 45 นาทีก็ถึงชายแดนประเทศพม่าขั้นตอนคือเหมือนกับตอนแรกที่มาเลย เจ้าหน้าที่ประทับตราเอกสารขาออกประเทศ และมุ่งหน้าสู่ท่าเรือระนองเป็นอันถึงที่หมายเรียบร้อย พร้อมกับรับบัตรประชาชนที่เจ้าหน้าที่ได้เก็บไว้ให้ในตอนแรก หลังจากเมื่อยล้ามาทั้งวันแอดมินได้เดินทางเข้าที่พักพร้อมกับชำระล้างร่างกายอันเต็มไปด้วยความเหนียวเหนอะหนะของน้ำทะเล ไม่รอช้าที่จะเอนตัวลงบนที่นอนนุ่มๆ พร้อมกับกล่าวคำว่า ฝันดีราตรีสวัสดิ์..
เดินทางกลับ
Last Day in Ranong << อรุณสวัสดิ์กับเช้าวันสุดท้ายที่ระนอง ก่อนจะเดินทางกลับขอแวะสถานที่ท่องเที่ยวที่ต้องบอกว่าหากมาระนองแล้วไม่ได้มาที่นี่แสดงว่ามาไม่ถึง ณ “บ่อน้ำร้อนรักษะวาริน” #อาบน้ำแร่ แช่ออนเซ็น สไตล์ไทยแลนด์… บ่อน้ำร้อนรักษะวาริน เป็นบ่อน้ำแร่ที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ ประกอบด้วยแร่ธาตุต่างๆ แต่ที่พิเศษกว่าบ่อน้ำร้อนแห่งอื่นก็คือ ไม่มีสารกำมะถันเจือปนเลย สามารถแช่ได้ไม่ว่าจะเป็นเฉพาะเท้า หรือแช่ทั้งตัว ที่นี่ก็มีบริการเช่นกัน ถือได้ว่าเป็นการผ่อนคลายไปในตัวอีกด้วย
ยังไม่หมดเพราะยังมีอีกหนึ่งที่ที่แอดมินอยากให้มามากๆ นั่นก็คือ “วัดหาดส้มแป้น” ในบริเวณวัดมีศาลาที่ประดิษฐานรูปเหมือนหลวงพ่อคล้าย ท่านเป็นพระภิกษุที่ชาวระนองให้ความเคารพนับถือ ซึ่งท่านได้มรณภาพที่วัดนี้ นอกจากนี้ภายในบริเวณวัดยังมีเจดีย์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ และรอยพระพุทธบาทจำลองอีกด้วย ขอย้ำว่า ท่านศักดิ์สิทธิ์มาก… และแล้วก็ถึงเวลาเดินทางกลับ จ.สุราษฏร์ธานี เพื่อทำการขึ้นเครื่องกลับกรุงเทพฯ แต่ยังพอมีเวลาแอดมินขอพาสักการะ 1 ในสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของทางภาคใต้ ณ “พระบรมธาตุไชยา” อ.ไชยา จ.สุราษฎร์ธานี สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นราวพุทธศตวรรษที่ 13 ตามคติความเชื่อในพระพุทธศาสนาแบบมหายาน ปัจจุบันมีอายุเก่าแก่กว่า 1,200 ปี แสดงให้เห็นถึงการรับพระพุทธศาสนาในคาบสมุทรแดนใต้มาตั้งปี พ.ศ. 1300 อีกทั้งยังแสดงให้เห็นว่าเมืองไชยาในอดีตเป็นเมืองที่มีความสำคัญทางพุทธศาสนาแห่งหนึ่งในแหลมมลายู ภายในพระธาตุไชยาบรรจุพระสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้าแต่ไม่มีหลักฐานยืนยันว่าเป็นส่วนใดพระธาตุองค์นี้ถือเป็นงานศิลปกรรมศรีวิชัยต้นแบบที่สวยงามสมบูรณ์แบบ ที่สำคัญคือตัวองค์พระบรมธาตุไชยาถือได้ว่าเป็นองค์พระบรมธาตุเจดีย์องค์เดียวของประเทศไทย ที่ยังมีความสมบูรณ์แบบในลักษณะที่ยังเป็นองค์ดั้งเดิมมีอายุเป็นพันปี ยังไม่ถูกสร้างครอบ ยังไม่พังทลาย และยังเป็นรูปแบบของงานสถาปัตยกรรมตั้งแต่สมัยศรีวิชัยตกทอดมาจนถึงปัจจุบัน
ได้เวลาอันสมควร พร้อมโบกมืออำลาภาคใต้ ได้แต่คิดในใจว่าครั้งหนึ่งฉันจะกลับมาหาเธอ… แน่นอน !! Bye Bye ^^
ขอบพระคุณทุกการติดตาม #รีวิวเที่ยวระนอง #รีวิวเที่ยวไทย
#ปริญ (นามปากกา)
#Travelwonders
#รีวิวเที่ยวไทย
#รีวิวเมืองมัลลิกา