ชีวิตที่คุณหมิง Life in China
ชีวิตที่คุณหมิง : ช่วงเวลาที่ได้ไปใช้ชีวิตที่คุนหมิง คอลัมน์นี้อาจจะแปลกตาไปสักหน่อย คือชูใจอยากจะเล่าเรื่องราวของตัวเองที่เคยได้ไปศึกษาเรียนภาษาจีนเพิ่มเติมที่คุนหมิง ประเทศจีน ใครที่สนใจลองดูนะครับ เผื่อมีลูกหลานส่งไปเรียนที่นั่นในอนาคต ผมว่าตอนนั้นมันคือจุดเปลี่ยนของชีวิต……..
“ทำให้ผมมีแรงผลักดันที่จะเลือกเดินทางต่อกับเส้นทางการทำงานสาย การท่องเที่ยว”
จุดเริ่มต้นก่อนไปคุณหมิง
ย้อนกลับไปเมื่อปี 2008 ก็แค่เกือบ 12 ปี แหะๆ รู้สึกทำไมเริ่มอิ่มตัวในการทำงานทั้งที่ทำงานได้แค่ 3 ปีกับอีก 6 เดือนหลังจากจบปริญญาตรี (ผมทำงานนั่งออฟฟิศทัวร์และนำทัวร์ด้วย) เลยได้ปรึกษากับครอบครัวและขออนุญาติเจ้านายในขณะนั้นไปเรียนต่อ ด้วยเหตุผลสั้นๆว่า…อยากไปเติมไฟให้กับตัวเอง
ใช้เวลา 2 เดือนในการเคลียร์งาน เคลียร์ตัวเอง ก็ตัดสินใจบินไปเลย สาเหตุที่เลือกคุนหมิงเพราะมีเพื่อนรุ่นพี่ที่นับถือดั่งอาจารย์อยู่ที่นั่น เค้าได้ชักชวนว่าไปเพิ่มทักษะภาษาดีไหม ถ้าหนี ได้มาเมืองจีนบ่อยๆ ไอ้ผมก็ใจง่ายตอบตกลงทันที และอาศัยอยู่ที่คอนโดของแก ซึ่งให้ที่พักผมฟรี ตลอดจนช่วยเหลือการต่อวีซ่าทุกๆ เดือนโดยมีคนรับรอง (ผมไปแบบวีซ่าท่องเที่ยวอยู่จีนได้ 30 วัน) ผมอยากแนะนำใครที่อยากศึกษาต่อตอนนี้ง่ายมากไปแบบเป็นระบบทำให้ถูกต้องโดยตัวแทนเยอะแยะมากมายจะได้วีซ่าปี ง่ายต่อการเข้า-ออก (อย่างที่บอกผมไปแบบลูกทุ่งมาก ตัดสินใจกระเป๋าเสื้อผ้า 1 ใบ ไปเลย) โดยที่ผมทำการศึกษาภาษาจีนเพิ่มเติมนั้น ผมตั้งใจไปโดยไม่มีสังคมเพื่อนคนไทย ตั้งใจจะไปหักดิบตัวเองเพื่อให้พูดเป็นให้ได้โดยเร็วที่สุด เรียกว่าออกไปใช้ชีวิต.
สัปดาห์แรกที่คุณหมิง
ปรากฎว่าสัปดาห์แรกในการได้ใช้ชีวิต ….อยากกลับบ้านมาก คุยกับใครก็ไม่รู้เรื่อง แม้จะเคยเรียนพื้นฐานที่มหาวิทยาลัย เอาแค่นับ 1-10 อี เอ้อร์ ซาน ซื่อ บลา บลา เค้ายังฟังไม่รู้เรื่อง ยังจำภาพตัวเองเกือบ 12 ปีก่อนที่ไปนั่งเล่นบริเวณทะเลสาบชุ่ยหู Shuihu น้ำตาคลอนั่งมองต้นไม้เป็นประจำช่วงสัปดาห์แรกที่มา …. อารมณ์ประมาณกรูมาทำอะไรที่นี่วะ!! มาทรมานตัวเองทำไม ไม่มีเพื่อน ไม่มีสังคม สั่งอะไรก็ไม่เป็น ช่วงแรกที่ไปผมสั่งได้แค่เจี่ยวจื่อ (เกี๊ยวนึ่ง ซึ่งกินทุกวันเพราะสั่งอย่างอื่นไม่เป็น haha)
ในเรื่องที่คิดว่าโชคร้ายก็ยังพอมีเรื่องดีๆให้ใจชื่น อยู่บ้าง ต่อมาได้ติดต่อเพื่อนคนไทยสมัยเรียนมหาลัยผ่าน MSN ประจบเหมาะอยู่คุนหมิง และพอดีกำลังจะกลับเมืองไทย” เออชู… เรามีเวลา 2 วัน มีอะไรให้ช่วยก็บอก ” น้ำตาจะไหล เหมือนฟ้าประทาน เลยขอคำแนะนำการขึ้นรถเมล์ต่างๆ จำป้ายสายที่ผ่านมา ทักษะการเอาตัวรอดไม่ให้โดนขโมยมือถือและเงินบนรถ (ร้อยละ 80 ของนักเรียนไทยโดนกันหมด) ตลอดที่อยู่นั่นผมรอดแฮะ!!! วันก่อนกลับไปไปร่วมงานรับปริญญาของมหาลัยที่เพื่อนเรียนอยู่ ไอ้เราก็ไม่ได้เอาสูทจากไทยมา ไปซื้อชุดดีไหมเกรงว่าไม่ให้เกียรติกับสถานที่ เลยโทรไปถามเพื่อนตอบว่า เฮ้ยชูแต่งตามสบายที่นี่ไม่ซี วันงานมาถึง …. ไม่มีใครใส่เต็มยศ ครอบครัว ญาติติโก ตีกระบัง ชุดสูท ไม่มีเลยฮะ เป็นวัฒนธรรมที่เรียบง่าย ง่ายมากกกกก ถ้าจำไม่ผิดมีแต่ตัวแทนนิสิตรับปริญญาจากคณบดีหรืออธิการบดีคนเดียว!!! นิสิยท่อนบนชุดครุย ใส่ยีนส์ ลากแตะ จบ!!!! แปลกตาดีจริงๆ ครับ และก่อนกลับเพื่อนผมก็ได้แนะนำเทคนิคการเรียน ซึ่งเค้าก็ถามเราจะเรียนในคลาสที่รวมคนเยอะๆ หรือจะหาเด็กนิสิตมหาลัยที่หารายได้พิเศษรับจ้างสอนภาษาผ่านทาง Board ของมหาลัยราชภัฎ โดยจะทิ้งเบอร์โทรให้เราติดต่อ (ผมเลือกข้อหลังนะ) ดูแบบส่วนตัวดี โดยนิสิตเหล่านี้ พอจะสื่อสารภาษาอังกฤษได้บ้าง
เรียนภาษาที่คุณหมิง
คุนหมิง ในช่วงเดือนแรกผ่านไปแบบงูๆปลาๆ ผมอาศัยห้องกาแฟที่นั่นเรียกว่า คาเฟย ทิง (cafei ting shita) เป็นที่เรียนที่สอน รวมถึงห้องเรียนที่ไม่มีคลาสสอน นิสิตฝึกสอนและผมก็จะไปอ้อนคนดูแลอาคาร ขอใช้ห้องเรียนกับกระดานดำ ซึ่งแกก็ช่วยเหลือตลอด บวกกับความใจกล้าหน้าด้านที่ขอใช้ห้องเรียนนอกเวลาตลอด ทำให้เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ภาพที่สื่อออกมาอาจารย์ (นิสิตฝึกสอน) จะเทสต์เราตลอด ภาพนี้น่าจะปลายเดือนแรกเข้าต้นเดือนที่ 2 ผมยังพอจำได้ ในช่วง 2-3 สัปดาห์แรกที่เรียนผมต้องท่องศัพท์เยอะมาก เรียกว่าจะกิน จะเดิน จะนั่งรถเมล์ อาบน้ำและก่อนนอน ท่อง ท่อง ท่อง ถามว่าทำไมต้องทำถึงขนาดนั้นเพราะเวลาทีมีในคุนหมิงจำกัดเหลือเกิน
ช่วงรอยต่อสัปดาห์สัปดาห์ถัดๆมา พอเริ่มสั่งอาหารได้บ้าง (ยิ้มกริ่มกรูไม่ต้องกินเกี๊ยวอย่างเดียวแล้ว) โดยคนที่สื่อสารด้วยอย่าพูดกลับมายาวๆ นะ ฟังไม่ออกเหมือนเดิม ได้แต่ตุ้ย ตุ้ย และตุ้ยไปอย่างนั้น ฮ่า ฮ่า ช่วงนั้นในห้องพักที่ผมได้อาศัย ผมใช้เทคนิคแบบลูกทุ่ง เอากระดาษเขียนศัพท์จีนเป็นตัวพินอินพร้อมแต่งประโยคสั้นๆ เช่น ร้านอาหารไปทางไหน เลี้ยวขวา เลี้ยวซ้าย เป็นต้น แปะคำศัพท์ไว้ทั่วห้อง พร้อมแต่งประโยคขึ้นมาสั้นๆ เรียกว่าให้ฝันเป็นภาษาจีนให้ได้ ให้ซึมเป็นอย่างนั้น ช่วงสัปดาห์ที่สามของเดือนแรกเริ่มเข้าที่ ผมเริ่มกล้าโทรไปคุยกับนิสิตที่ต้องการหารายได้พิเศษ คนไหนคุยถูกคอก็เรียน คนไหนฟังเสียงแล้วไม่น่าจะไปกันได้ก็หยุด พอลงตัวทั้งคนและเวลา ผมจ้างนิสิตมา 3 คน แต่ละคนว่างไม่เหมือนกันเพราะเค้าต้องเรียนไปด้วย ผมก็จัดเวลาคนนี้ว่างเช้า คนนั้นว่างบ่าย คนโน้นว่างเย็น เรียนอัดเข้าไปกว่า 10-12 ชั่วโมงต่อวัน โดยไม่มีวันหยุด
สังคมที่คุณหมิง
พูดถึงคุนหมิง ที่นี่อากาศดีมากแม้จะอยู่เหนือเชียงใหม่ไปหน้าร้อนก็ไม่ร้อนมาก (ปี 2008 นะ) บางวันฝนมานี่ 15-20 องศาได้เลย เรียกว่าอากาศโครตดี เข้าเรื่องต่อ พอเดือนที่ 2 จากนิสิตฝึกสอน เริ่มกลายเป็นเพื่อนที่สนิทมากขึ้น (นอกเวลาก็ได้กินข้าว สังสรรค์ รวมกลุ่มกับเพื่อนๆของเค้า ทำให้ต้องกล้าพูด กล้าแสดงออกมากขึ้น เหอๆ สถานการณ์บังคับ ที่หนักว่านั้นถ้าเค้าคุยกับเพื่อน เค้าคุยภาษาท้องถิ่นจ้า ไอ้นี่จีนกลางก็ยังไม่ค่อยได้ เจอภาษาท้องถิ่นฟางหยวน (Fangyuan) หนักเข้าไปอีก ผมว่าทุกที่ทั่วโลกล้วนมีเอกลักษณ์ของภาษาในเมืองนั้นแต่ฟังไปฟังมาเพราะดีนะ ชอบ ในความรู้สึกของผมวันนั้นเริ่มหลงรักที่นี่เข้าซ่ะแล้ว..
อาหารคุณหมิง
ได้เรียนรู้วัฒนธรรมต่างๆ ทั้งอาหาร บ้านเมือง การปรับตัวดีขึ้นมาก หมาล่า ปิ้งย่างเอย สุกี้เอย อาหารเหลาเลย พร้อมๆกับน้ำหนักตัวที่มากขึ้นตามไปด้วยเพราะอาหารแต่ละอย่างมาแบบจานใหญ่ๆ (ตามรูป) 10 หยวน 12 หยวน นี่เรียกว่าอิ่ม (1 หยวนช่วงนั้น 4 บาทได้)
อีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้ภาษาของผมเริ่มเป็นเร็วขึ้น ฟังออกมากขึ้นเพราะช่วงนั้นโทรศัพท์เป็นเพียงระบบโทรเข้า-โทรออก ไม่มีsocial ถ้าจำไม่ผิดมีก็แค่ Msn ซึ่งที่จีนก็นิยม Qq มากกว่า ประกอบกับอาศัยอยู่กับเพื่อนคนจีนล้วนๆ ผมเริ่มโดยฝึกแต่งประโยคโต้ตอบ โดยเราจะเล่นเกมส์กันเพื่อไม่ให้น่าเบื่อในการเรียนมาก คือถ้าพูดหรือออกเสียงผิดก็จะโดนดีดหน้าผาก เล่นเอาหัวผมช้ำ หน้าผากนี่แดงแดงทุกวัน แดงจนช้ำ (คนไทยดีดมะกอก คนจีนเวลาพนันจะดีดหน้าผาก) เดือนที่ 2 เวลาผ่านไปเร็วมาก นอกเวลาสอนก็กินข้าวสังสรรค์ทุกคืน ผีจิ่วหลาย ชอบอ่ะเบียร์ชิงเต่าและเบียร์ต้าหลี่กินเท่าไรก็ไม่เมา ขาดแต่น้ำแข็งนี่แหละ haha ปะปนแต่ละวันไม่ซ้ำกัน นอกเวลาเรียนก็เริ่มมีกิจกรรม ไปวัดบ้าง ก็เดินเล่นทะเลสาบบ้างกับสลับการร้องคาราโอเกะที่นี่ฮิตเหลือหลาย นั่งคุยกันตามร้านนั่งดื่มบ้าง เมนูเริ่มหลากหลาย เริ่มเป็นข้าวมันไก่บ้าง สุกี้เสียบไม้ริมทางรถไฟบ้าง (Huogua Huashezhan ) พูดแล้วเปรี้ยวปากอยากกลับไปกินทันที
รวมถึงหมาล่าที่ตอนนี้ฮิตกระจายในมุมซอกมุมของเมืองไทย ที่นั่นรสแบบดั้งเดิม เก้าอี้เตี้ยๆ แกล้มกับเบียร์เย็นแก้วพลาสติก โครตเข้ากัน ยิ่งกินยิ่งมัน น้ำหนักก็เช่นกันขึ้นมาเกือบ 10 โลได้ เรียน กิน นอน อ่อ เครื่องดื่มยอดฮิตที่นั่นในช่วงเช้าหรือตอนบ่ายๆ ก็คือ ชามะนาวปั่น กินทุกวัน เรียกว่าชาเลมอนปั่นดีกว่าเพราะที่นั่นไม่มีมะนาว
ดูเหมือนทุกอย่างจะเริ่มเข้าที่เข้าทาง ทีนีก็ถึงเวลาออกเดินทางกันแล้ว Ep. หน้าเรายังอยู่กันที่ คุณหมิง
แอบกระซิบนิดนึงว่า ไม่ธรรมดาแน่นอน ขอเวลาไปนึกย้อนอดีตก่อนนะ