เรียนต่อภาษาจีน x ชีวิตที่ คุณหมิง Life in China EP.2
เรียนต่อภาษาจีน x ชีวิตที่ คุณหมิง Life in China EP.2 : มาต่อกันกับ Ep.2 เกริ่นความเก่าให้ฟังก่อน หลังจากที่ท้อใจกับการใช้ชีวิตแบบเดียวดายในวันแรกๆ จนเริ่มมีสังคม มีเพื่อน วิทธยุทธก็เริ่มเกร่งกล้าขึ้น จนในที่สุด
ประสบการณ์ห้องน้ำที่จีน (คุณหมิง)
เพื่อนคนจีนเห็นเรายังไม่มีชื่อจีน เลยพาไปที่วัดหยวนทง ซึ่งวัดนี้บรรจุอยู่ในโปรแกรมนำเที่ยวเพราะดูสงบและมีทัศนียภาพที่งดงาม ประกอบกับอยู่ไม่ไกลจากคุนหมิงมากไป พระอาจารย์เลยตั้งชื่อให้ผม โดยใช้แซ่ต้นตระกูลผมคือแซ่โอ้ว เป็นชื่อจีนกลาง โอวถง เออดูเท่ห์ขึ้นมาทันที ระหว่างทางจะกลับไปที่เรียนผมดันปวดท้องหนัก เอาแล้ว….จำได้ว่าเพื่อนคนไทยที่ดูแลผม 2 วันก่อนกลับไทย เคยเล่าสรรพคุณห้องน้ำวัดหยวนทง ว่าเด็กไทยไปเที่ยวที่นั่น…..ถ้าจะเข้าห้องน้ำให้กลับมาเข้าที่หอพัก ตอนนั้นผมคิดว่าคงพูดเกินจริงไปหน่อย !!! คงไม่ขนาดนั้นมั๊งประกอบกับจะทนไม่ไหว ข้าศึกจ่อแล้ว….แว๊บ เปิดประตูห้องน้ำทุกบานไป…อ่า แท็กซี่!!! อยู่ไหนส่งกลับหอพักด่วนไม่ไหวแล้วนั่งตัวเกร็ง หายใจแบบรวยริน เหงื่อแตก เพื่อนถามทำไมต้องรีบขนาดนี้ ผมตอบกลับไปว่า ต้าเปี้ยนหมาซ่างหลายเลอ (ขรี้ใกล้จะไหลแล้ว) เท่านั้น…..เพื่อนผมคุยกับแท็กซี่ด้วยภาษาถิ่นเพิ่ม Speed ความเร็วรถอีกเท่าหนึ่ง…..ใจหนี่งก็เขิน ใจหนึ่งนี่โล่งเลยฮะ 555 ปล..ปัจจุบันห้องน้ำดีขึ้นเยอะแล้วนะครับ
ออกเดินทาง จากคุณหมิง
เข้าเรื่อง EP 2 ในเดือนเดียวกันนั้นเอง พอภาษาเริ่มกระดิกบ้างก็เริ่มเดินทางออกไปแบ็คแพ็คตามที่ต่างๆ ทั้งอันหนิงซึ่งเป็นเมืองน้ำแร่ธรรมชาติชื่อดัง และเหอม่า (Hema) นั่งรถไปร่วม 10 กว่าชั่วโมง ชอบที่ว่าได้นั่งรถไปไกลมาก และมีด่านตรวจเป็นระยะ เพราะปีนั้นปักกิ่งเป็นเจ้าภาพจัดโอลิมปิก ตรวจละเอียดทุกเมือง รถทัวร์แบบนั่งยาวข้ามเมืองที่นี่แปลกดี ทำแบบ 3 แถว แต่ทำเป็นเตียง 2 ชั้นแบบนอนยาว 180 องศา เดินขึ้นรถก็แจกถุง ถุงอะไรถุงพลาสติก อย่าคิดลึก haha เอาไว้ทำไม??
แรกๆผมก็งง มาถึงบางอ้อว่ามันเอาไว้เพื่อใส่รองเท้าตัวเอง เมืองเหอหม่าที่ผมไปจำได้ว่า ร่วม 12 ชั่วโมง ใครตีนเหม็นนี่ถือว่าสุดเลยฮะ ยาดมโป๊ยเซียนก็ลืมพกไปด้วย ที่นอนข้างๆ ผม ก็เสมือนไม่ได้ล้างส้นตีนมากว่า 10 วัน อา…ภาพจำ เอาขมคอเลยฮะ พลาสติกเอาไม่อยู่ TT ระหว่างทางใครจะซื้อมาม่าจะสูบบุหรี่ก็ได้ในนั้นไม่มีใครว่า (ตอนนี้น่าจะปรับปรุงแล้วมั๊ง) แต่ที่ชอบที่สุดเป็นไอเดียคือ พอถึงจุดหมายปลายทางเค้าจะไม่ไล่เราลงนะ ถ้ารถไปถึงตี 3 – 4 เค้าก็ปล่อยให้เรานอนต่อ รถจะจอดนิ่งๆ รอให้เช้าค่อยไปได้ เจ๋งดี ที่เมืองเหอหม่าดูคล้ายทางเหนือทั้งภูมิประเทศที่พูดภาษาคล้ายทางเหนือ เรียกยี่สิบ ว่าซาว เรียกย่าว่าแม่หญิง นั่งก็เรียกนั่ง เป็นอะไรที่แปลกหูแปลกตาดี เริ่มผจญภัย เริ่มเดินทางไปที่ต่างๆ และลองทุกอย่างที่คนพื้นเมืองกิน
เพื่อนเริ่มสอนการเล่นไพ่ที่เล่นสนุก ทั้งเขย่าลูกเต๋า ที่นั่นเล่นสนุกๆ ไว้ผ่อนคลาย ทุกอย่างเริ่มเข้าที่เข้าทาง ภาษาได้ใช้ทุกวัน และกลับมาที่คุนหมิงที่ห้องนอนผมยังทำเป็นประจำคือ แปะกระดาษไว้เต็มห้องท่องศัพท์พื้นฐานให้ได้มากที่สุดเหมือนที่เคยทำในเดือนแรก
หลง(รัก) คุณหมิง
เข้าเดือนที่ 3 กิจกรรมยังคงเหมือนเดิม เริ่มมีคำถามมากมายมาในหัว เออไม่ค่อยได้สังเกตุเค้าไม่ค่อยดื่มกาแฟกัน (ดีตอนนั้นยังไม่เสพย์ติดมาก) อย่างมากก็เป็น 2 in 1 ของ เนสกาแฟ ที่ขายในร้านโชว์ห่วยบ้าง แต่วัฒนธรรมเมื่อ 12 ปีที่แล้ว เหนียวแน่นมาก คนทั่วไปยังคงดื่มชาร้อน หรือจะเป็นกระทิงแดง (Hongniu) ที่ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ก็เห็นกินกันเป็นเรื่องปกติของที่นั่น โดยเค้าก็ไม่รู้ว่าว่าเป็นของคนไทยนะ ในเดือนนี้เองเริ่มเข้าร้านอาหารแปลกตามากขึ้น คำที่แปลกๆ คือ ถ้าร้านไหนมีไก่เป็นๆ ตั้งไว้หน้าร้าน ย้ำว่าไก่ครอบในกรงหน้าร้านอาหาร เราเดินเข้าไปชี้เอาตัวนี้ ทางร้านก็จับไก่ตัวนั้นเข้าหลังร้าน จากนั้นเราก็เลือกเมนูที่จะทำ เรียกว่าได้ไก่สดๆ จะเมนูไหนไม่มีค้าง เรียกว่าสดเกิ๊น เข้าร้านปลาเมนูก็จะมีแต่ปลา เหมือนกับไปกินไก่เด๊ะๆ ชอนปลาออกมาทำทันที ภาษายังเรียนหนักหน่วงเหมือนเดิม ผมเริ่มติดใจและอยากอยู่ที่คุนหมิงต่อแล้ว แปปเดียว ท่านผู้อ่านยังอ่านตามหรือหลับไปแล้วครับ haha ต่างกับช่วงแรกที่มาแล้วอยากกลับ ถ้าไม่ติดว่าต้องกลับไปทำงานต่อ คงยาวอาจจะเป็นปีครับ ช่วงเดือนนี้เองผมเริ่มฝึกตัว hanzi หรือตัวอักษรจีน แทนตัวเพียนอิน เวลาเดินไปเร็วมากๆ ค่าเรียนหลังๆ อาจารย์นิสิต 2 ใน 3 ไม่เก็บค่าเรียนละ ให้ผมสอนภาษาไทยแทนกลับ เรียกว่าผมยังซึ้งใจมิตรภาพผู้คนที่นั่นอยู่เลย ใครอาจะมองภาพแรกที่มองจีนว่าเสียงดัง ไม่มีมารยาท หรือคิดในทางลบ ในความรู้สึกส่วนตัวผมชอบผู้คนที่นั่น ไม่มีเสแสร้งและจริงใจ รู้สึกยังไงก็พูดอย่างนั้นออกมา ดราม่าละตรู
เพลงฮิต ที่คุณหมิง
!!! ออกนอกเรื่องกันสักนิดดด…พูดถึงเสียงตามสายที่ทางมหาลัยจะเปิดเพลงของสถานีของตัวเอง มีเพลงไทยเพลงหนึ่งฮิตเหลือเกิน ไอ้เราก็คิดว่าคงเป็นเพลงของ Body Slam หรือ วงโปเตโต้ ที่ไหนได้ !!! เพลงชื่อ เจอกับตัวเองถึงรู้ ของซาร่า งงงงก่งก๊ง ??? เพลงอะไหว่า ผมหือ!!! ….คือเพลงมันนานมากแล้ว แล้วในไทยก็ดังในระดับหนึ่งนะ แต่ที่จีนดัง…พลุแตกเลยค๊าบบ เรียกว่าเพื่อนคนจีนผมก็คือนิสิตฝึกสอน 2 ใน 3 คนวานให้ผมเขียน-แกะเพลงนี้เป็น เนื้อเป็นภาษาคาราโอเกะ เค้าบอกเพราะมากก เพลงจับใจเหลือเกิน ไอ้เราก็ว่าเพราะ แต่ไม่คิดว่าอินขนาดที่ว่า…งงมากแม่
กระซิบอีกหน่อยช่วงปีนั้นเอง ละครไทย เรื่องสงครามนางฟ้า ที่จีนดังมากๆ ครับ พี่ป้อง ณวัตร พระเอกของเรื่องเรียกว่าป๊อปสุดๆ เรื่องตบๆ ตีๆ ที่นั่นไม่ค่อยจะมีกระมั๊ง แฮร่!!! ผมว่าพอสมควรแล้วเนอะ และอีกวัฒนธรรมที่น่ารักดี คือการอาบน้ำรวม เดี๋ยวๆ ไม่ใช่อาบอบนวด แต่เป็นโรงอาบน้ำขนาดใหญ่ ด้านในแยกชายกับหญิง (คล้ายอาบน้ำแร่ที่ญีปุ่น) แต่ที่แตกต่างพออาบเสร็จก็มารวมกันโดยใส่ชุดคลุมอาบน้ำ แล้วนอนพักค้างคืนที่นั่นได้เลย เช้ามาจ่ายเงินก็กลับ ที่นั่นเรียกว่า เพ่า เหวินฉวน Pao Wen quan ใครมีโอกาสอยู่ที่นั่นลองกิจกรรมนี้ดูนะครับ เป็นเอกลักษณ์ดี และพอสิ้นเดือนที่ 3 กลับมาที่ไทย เหมือนได้เติมไฟในตัวเอง กลับเข้าทำงาน……มันเป็นประโยชน์มหาศาลกับทั้งตัวเอง โดยเฉพาะเกี่ยวกับการเดินทาง รวมไปถึงการเจรติดต่อธุรกิจ การสั่งสินค้าต่างๆ ในจีนมาขาย ที่ชูพูดมาใช่ว่าเรียนที่ไทยไม่ดีหรอ ไม่เกี่ยวเลย มหาวิทยาลัยสอนดีอยู่แล้ว ทุกอย่างดีหมดแต่ผมไม่ได้ตั้งใจเอง พอเราได้ออกนอกกรอบออกไปใช้ชีวิต…พอลองไปหักดิบที่นั่นเวลาสถานการณ์บีบคั้นหรือบังคับเรา ใส่ความตั้งใจลงไปอีกนิดก็เป็นเองได้ทุกคน สรุปผมไปที่นั่น ค่าที่พักฟรี ค่าเรียนรวมๆกันก็แทบจะฟรี เวลากินก็หารกับเพื่อนนะ แต่ทำไมผมหมดไปร่วมๆ หนึ่งแสนห้าหมื่นบาทนะ ??? งงมากแม่ เหอๆ…. เอาเป็นว่าเป็นช่วงเวลานั้น เป็นอีกหนึ่งห้วงเวลาที่น่าจดจำที่สุดช่วงหนึ่งเลย
ขอบคุณโควิด19 ที่ทำให้ผมมีเวลากับตัวเองและ ได้เขียนได้แชร์ เรื่องราวส่วนหนึ่งของชีวิตให้เพื่อนๆ กัน หวังว่าจะได้ติดตามกันในพาร์ทอื่นๆ นะครับ